
อุบลฯ - ลาวใต้
Day 1 : เริ่มต้นการเดินทางของ MY Traveler โดยเจ้าหางแดง (มีโปรฯ ให้เราเลือกคือ 160.50 บาท/คน) เดินทางจาก สุวรรณภูมิ - อุบลฯ เมื่อถึงสนามบินของจังหวัดอุบลฯ ก็ต่อมอเตอร์ไซต์ไปที่ท่ารถ เพื่อที่จะซื้อตั๋วเดินทาง จากอุบลฯ - ปากเซ ค่าตั๋วคนละ 200 บาท รอบแรก 9.30 ชม. รอบที่สอง 14.30 น. ผ่าน ตม. ช่องเม็ก ตรวจหนังสือเดินทางเสร็จก็ลุยกันต่อ ค่าผ่านเข้าประเทศลาวก็........แล้วแต่อารมณ์พนักงานบางคนก็ 20,50,100 เราสองคนโดนไปคนละ 50 :(
(พี่พนักงานขับรถ แอบกระซิบบอกเราตอนหลังว่าจริงๆคนละ 20 บาทเท่านั้น แต่ต้องเตรียมเงินให้พอดี


เมื่อถึงปากเซ ก็ต้องหาที่พักก่อนเป็นอันดับแรก สถานที่นอนในวันแรกก็คือ "โรงแรมแสงอรุณ" ในราคา 600 บาท ต่อคืน ถ้ารับอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่คิดเพิ่มหัวละ 150 นะคร้าบบบ

โอเคมาก แนะนำ สำหรับวันแรกพักผ่อนเอาแรง.......
Day 2 : เริ่มลุย สำหรับการท่องเที่ยวในละแวก ปากเซ ถ้าจะให้สนุก ก็ต้อง.......
เราเช่ารถจักรของโรงแรมลานคำวันละ 55,000 กีบ เป็นเงินไทยก็วันละประมาณ 250 บาท หลังจากยืนคุยกับพี่เจ้าของร้านใจดีอยู่นานพี่เจ้าของร้านเลยลดให้เป็นวันละ 200 บาท โดยนับเป็น 24 ชั่วโมง เราเหมาเช่า 2 วัน แล้วตะเวนเที่ยวตามตาดต่างๆทั่วจำปาสัก สำหรับผู้ที่ต้องการเช่ามอไซต์ไม่ต้องกังวลสามารถหาเช่าได้ทั่วไปในจำปาสักมีหลากหลายร้านแต่ควรต่อรองราคาให้ดี และสอบถามเวลาในการเช่ารวมถึงดูสภาพรถที่เช่า ส่วนน้ำมันต้องเติมเองต่างหากทุกที่
อันนี้ตาดผาส้วมคร้าบบบ.....เจ้าของที่เข้าไปสัมปาทานชื่อคุณวิมล กิจบำรุง เป็นคนไทยที่เข้าไปบุกเบิกโดยมีบ้านพัก ร้านอาหารในนั้นพร้อมสรร ที่พักมีเรทตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป แต่เราไม่ได้พักแค่แวะทานอาหาร ซึ่งราคาค่อนข้างแพงสำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าเบาอย่างเราอยู่เหมือนกัน
ภายในบริเวณ "น้ำตกผาส้วม" มีที่เที่ยวที่สามารถเดินเท้าถึงกันได้ในระยะทางไม่ไกลคือหมู่บ้านชาวเขาซึ่งคุณวิมลเจ้าของเป็นคนเชิญชาวเขาเผ่าต่างๆ มาอยู่เพื่อจำลองหมู่บ้านต่างๆให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ต้องบอกกันไว้ก่อนสำหรับเพื่อนที่จะไปอย่าคาดหวังสูงเกินไปนักสำหรับตาดผาส้วมเพราะยังถือว่าพื้นๆมากสำหรับที่นี่




ลุงคนนี้ได้ใจมาก...แกเล่นดนตรีพื้นบ้านได้ไพเราะลึกซึ้งกินใจดีเหรอเกิน แถมแกยังขายเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่ประดิษฐ์เองอีกต่างหาก ใช้เวลาเดินชมวิวเคล้าเสียงน้ำสักพักเราก็ออกเดินทางไปสู่ตาดฟานน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศลาวบรรยากาศหนาวเย็นร่มรื้นดีมากแต่ต้องทำใจนะครับว่าสถานที่ท่องเที่ยวของลาวในบรรดาตาดต่างๆที่เราได้เดินทางไปถนนหนทางยังไม่สะดวกเท่าที่ควรส่วนมากถนนยังเป็นดินลูกรัง ซึ่งบอกตรงๆวันนั้นเรากลับมานอนก้นระบมกันทั้งคืนทีเดียว แต่ก็คุ้มค่ากับความงามของธรรมชาตินะครับ

"ตาดฟาน"
บรรยากาศในน้ำตกแห่งนี้ก็สวยมากทีเดียว แต่เสียดายที่ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เพราะน้ำตกตกจากภูเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งสูงมาก ลักษณะของน้ำตกแห่งนี้คือเราได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ ส่วนฝั่งที่เราดูน้ำตกจะมีร้านอาหารของอุทยานที่สามารถทานข้าว และจิบเบียร์ ส่วนใครกระเป๋าหนักหน่อยที่นี่ก็มีไวน์ให้เลือกดื่มได้ตามใจชอบ ข้างทางที่เข้ามาในน้ำตกแห่งนี้มีไร่กาแฟมากมายสามารถแวะถ่ายรูปได้ ด้านหน้าก่อนเข้ามาในน้ำตกจะมีตลาดขายของที่ระลึกของชาวลาวอยู่แต่ข้าวของที่ขายก็ธรรมดาสามารถเจอได้ทั่วไป แต่ที่สิ่งที่น่าสนใจที่เราเจอคือ

น้องๆที่นั่งเล่นอยู่ น่ารักจริงๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูซื่อบริสุทธ์เหมาะสมกับวัย แถมขี้อายไม่แก่แดด แก่ลมเหมือนเด็กในเมืองที่เราเห็นทั่วไป



หลังจากเยี่ยมชมน้ำตกและความน่ารักของเด็กพักใหญ่เราก็ออกเดินทางไปสู่ตาดจำปี กับเจ้ารถจักรสองล้อ Let's Go............

ค่าเข้าตาดจำปี 3000 กีบ ที่ลาวนี่แปลกอย่างทางเข้าตาดต่างๆของเค้าจะสังเกตุได้ยากไม่มีป้ายที่เห็นชัดเจน ต้องคอยแวะถามหรือคอยมองให้ดี เพราะเราสองคนก็หลงทุกทางเข้าเหมือนกัน ตาดจำปีนี่เราผิดความคาดหมายมากนึกว่าจะไม่ค่อยมีอะไรแต่พอเข้าไปแล้ว (หลังจากที่ไต่ทางแสนชันลงมา) โอ้!!! แม่เจ้านี่เราหลงเข้ามาในอุทยานสวรรค์หรือเปล่า
น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาเป็นสายมีเฟรินส์ หลายสายพันธ์ขึ้นอยู่เต็มไปหมด โขดหินที่เรียงสวยอย่างกับมีมือวิเศษมาจัดวาง หมอกบางๆคลุมน้ำตกอยู่ทั่วไป อากาศเย็นสบาย เห็นแล้วอยากกระโดดลงไปว่ายแทนปลาเลยทีเดียว แต่จนใจเพราะเราไม่ได้เตรียมชุดสำหรับเล่นน้ำไปด้วย



ในระหว่างที่เราเดินไปเดินมาย่ำน้ำตกเล่นกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเหมือนดนตรีพื้นเมืองเล่นอยู่ใกล้ เอ๊ะ!!! ยังไงชักหวิวๆ ซ้ายก็ไม่มีคน ขวาก็ไม่มี มีแต่ป่าของข้างทาง จำได้ว่าตอนเราเดินเข้ามาในน้ำตกนี่ไม่มีคนอยู่เลยว่างเปล่าจริงๆ แล้วเสียงอะไรหว่า++ จะว่าเสียงใครมาเปิดวิทยุก็ใช่ที่เพราะมีแต่ป่า เราสองคนได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆ เอ....ชักไม่เข้าที เอาว่ะ ขอตามให้เจอต้นเสียงแล้วกัน เป็นไงเป็นกันงานนี้
หลังจากที่เดินตามเสียงเพลงเข้าป่าไปสักพัก ยิ่งเดินยิ่งเสียงดังขึ้น ป่ายิ่งรกขึ้น หลังจากมองหาอยู่นานเจอแล้วเจ้าของเสียง คือ ครอบครัววัวที่กำลังกินหญ้าสบายใจอยู่นี่เอง เสียงที่เราได้ยินคือเสียงไม้ที่เจาะเป็นรูแล้วมีไส้ข้างในเหมือนกระดิ่งแต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีช่องข้างในสามช่องส่งเสียงเพาะเสนาะหู ทำเอาหัวใจแทบวาย ฮ่วย....
หลังจากตื่นเต้นจากเสียงอยู่นานก็เริ่มเดินทางไปสู่ตาดต่อไป ระหว่างทางแวะเติมน้ำมันหน่อยนะคร้าบบ...

ระหว่างที่แม่หญิงกำลังเติมน้ำมันให้อยู่นั้นสายตาพลันเหลือบไปเห็น ตัวอะไรติดอยู่ที่ขาอ่อนสวยๆขนรุงรัง หว่า....เอ๊ะหรือว่าขาติดโคลน ดูแล้วไม่น่าใช่
โอ๊ะโอ้ !! สรุปเป็นเจ้าตัวนี้ขอตามมาเที่ยวด้วย มันกินเลือดจนตัวอ้วนเป้ง แถมติดตรึงที่ขาอีกตั้งหาก ทำไงดีล่ะทีนี้คนหนึ่งก็ไม่กล้าจับ อีกคนก็กลัวเลือด ภายในภาวะคับขันนั้นแม่หญิงคนที่เติมน้ำมันให้เราเข้ามาดึงออกให้ โอ้เลือดสาดเลย ยังกะหนังสยองขวัญ
มุมยอดฮิตสำหรับที่นี่
พอชื่นชมความงามจนอิ่มและแดดร่มลมตก ก็ถึงเวลากลับที่พักกันเสียที หลังจากที่เราเข้าไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว เราก็ออกมาตะเวนราตรีกันต่อนะครับ

ที่เที่ยวตอนกลางคืนของลาวส่วนมากยากาศริมที่เราเจอจะเหมือนร้านคาราโอเกะแบบ ต่างจังหวัดบ้านเรา หรือร้านที่ทำเป็นเพิงแล้วมีไฟสีเขียว แดง ล้วนแต่สีสันแสบตา เราเลยขอมานั่งกินลูกชิ้น เคล้าบรรน้ำโขงดีกว่า
Day 3 : วันนี้ตื่นเช้ามาแวะเติมพลังที่ร้านเฝ่อเนื้อของโรงแรมลานคำที่เค้าบอกว่าอร่อยที่สุดในจำปากสักกันก่อนเพราะนะครับ


อันนี้เป็นผักสดเครื่องเคียงสำหรับแกล้มกะเฝ่อและมีเหมือนกะปิหวานไว้สำหรับจิ้มกินกับผักแถมมาให้ด้วย สนนราคาเฝ่อชามนี้อยู่ที่ 40 บาทไทยครับผม เมื่อเติมพลังจนอิ่มกันแล้ววันนี้เราวางแผนไว้ว่าจะไปปราสาทวัดพูและอาจเลยไปตาดอื่นๆที่อยู่ละแวกนั้นด้วย แต่ก่อนไปปราสาทวัดพูขอไปเดินเล่นในตลาดเช้าดาวเรืองกันก่อนนะครับ


แม่ค้าที่ขายของสดที่นี่จะนั่งกับพื้นเลยครับ แอบเห็นแม่ค้าส่วนใหญ่กินซาลาเปาหรือไม่ก็เฝ่อเป็นอาหารเช้าครับ
ของในตลาดนี่เก็บมายังไงเค้าก็ขายกันแบบนั้นเลยครับ อย่างต้นหอมนี่ สังเกตุได้จากโคนต้นยังมีดินติดอยู่เต็มไปหมด เก็บสดๆมาขายกันจริงๆ

ปลาสดๆ ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลยครับ ชนิดที่ถ้าเอาแกงกินก็อยู่ได้หลายอาทิตย์ทีเดียว


เอาล่ะครับ หลังจากใช้เวลาเดินเล่นเป็นพระยาชมตลาดมาได้ร่วมชั่วโมงเราเดินทางไปปราสาทวัดพูกันดีกว่า การเดินทางของเราก็เหมือนเดิมครับใช้รถจักรเป็นพาหนะ ระยะทางไกลพอสมควรทีเดียว แถมยังต้องนั่งแพเพื่อข้ามฝังไปอีกต่างหาก
ขณะขับไปบรรยากาศดีมากครับ บางช่วงเราผ่านหมู่บ้านก็จะเจอฝูงหมูที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้วิ่งข้ามถนนกันไปมา หรือไม่ก็ฝูงแพะ ฝูงวัว ก็จะมีให้เห็นตามรายทางทั่วไป อีกอย่างที่เราสังเกตุเห็นก็คือเด็กนักเรียนที่นี่จะเดินกลับบ้านตอนเที่ยงวันเพื่อไปกินอาหารกลางวันที่บ้านกันทุกวัน และจะเดินกลับมาโรงเรียนอีกทีตอนบ่ายโมงเพื่อเรียนหนังสือกันต่อเป็นภาพที่น่ารัก น่าเอ็นดูทีเดียวครับ เด็กตัวเล็กๆเดินต่อแถวกันมาเป็นขบวนทีเดียว
พอเราขับมาระยะหนึ่งก็มาถึงท่าข้ามแพ เราต้องเอารถลงแพเพื่อจะข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำโขง สำหรับแพเพื่อข้ามนั้น เค้าเอาเรือสองลำมาวางคู่แล้วเอาไม้กระดานมาตียึดไว้โคลงเคลงน่าดูเหมือนกันครับ


แพสำหรับบรรทุกรถมอเตอร์ไซต์กับรถยนต์จะแยกกันนะครับ เพราะขนาดของรถแตกต่างกันแต่ท่าเรือข้ามแพก็ยังอยู่ในโซนเดียวกัน
ในระหว่างทางมาท่าเรือข้ามแพเราเกิดอุบัติเหตุรถชนครับ :(
คืออย่างที่รู้กันอยู่ว่าถนนของลาวนั้นขับคนละเลนกับเรา แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ว่าระหว่างทางที่เราขับมาเราเจอรถบรรทุกหกล้อเล็กแบบบ้านเรา ขับมาอย่างเร็วปาดซ้าย ปาดขวา เราก็หลบจนหมดที่จะหลบ เพราะถนนที่นี่ไม่ค่อยมีคนด้วยความที่คนขับไม่มองหน้า และไม่แลหลัง
เค้าเลยไม่เห็นเราจึงขับมาเสยเราจนกระเด็นทั้งรถทั้งคน แบบเราเห็นตลอดนะครับแต่ไม่สามารถหลบได้ทันเพราะด้านข้างเป็นสระบัว
ซึ่งถ้าหลบไปจังหวะนั้นเราคงจมน้ำตายทั้งคู่ จึงต้องตัดสินใจปล่อยให้ชนแต่ด้วยแรงกระแทกพาเราทั้งสองคนและรถลอยละลิ่วไปตกในทุ่งไมยราบซึ่งถัดไปจากสระบัว หลังจากที่ตกไปสักพักคนขับรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาหาคนซ้อน คนซ้อนหลังได้แน่นอนลืมตานิ่งลุกไม่ขึ้นเพราะจุกและตกใจ โอ้นึกว่าจะตายทั้งคู่ซะแล้ว แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือคนลาวมีน้ำใจมากจริงๆ ขนาดไม่รู้จักยังลงมาช่วยและถามไถ่ว่าไหวไหม เอาเรื่องไหม นี่จดทะเบียนรถไว้ให้แล้ว เดี๋ยวไปเป็นพยานให้
เฮ้อ+!! ซวยจริงตู หลังจากลุกขึ้นมาเช็คสภาพทั้งรถทั้งคน รถไม่เป็นไรเลย แต่คนนี่สิแย่หน่อย... คนขับโดนรถหรือไม้อะไรเกี่ยวก็ไม่รู้ขาถลอกปอกเปิดเลือดสาด ส่วนคนซ้อนจุกจนพูดไม่ออก...ระบมจนหน้าเขียวหน้าเหลือง หลังจากมองหน้ากันเอาไงดี....ตัดสินใจช่างมันเหอะเรามาเที่ยวถือว่าซวยไป... แล้วเรายังจะไปต่อกันอีกดีไหมหว่า....เอาว่ะยังไงมาตั้งไกลแล้วไม่ตายก็ถือว่ายังไปได้ "หนทางพิสูจน์แรงม้า เวลาพิสูจน์คน" เราสองคนเลยตัดสินใจเที่ยวต่อดีกว่า 555++++ อึด ถึก ลุย คงใช้ได้กับพวกเรา


คนนี้คือคนบังคับแพของเราครับ ร้องเพลงกล่อมเราไปตลอดทางเลยทีเดียว


พอเดินได้สักระยะจะเจอปราสาทด้านหน้า ปราสาทวัดพูได้ขึ้นเป็นมรดกโลกด้วยนะครับ ในอดีตนั้นปราสาทวัดพูเป็นที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึง 3 ยุคด้วยกัน และช่วงทศวรรษที่ 6-8 ได้พบหลักฐานของการฆ่าคนเพื่อบูชาเทพเจ้าพอเล่าถึงจุดนี้ก็อดขนลุกไม่ได้จริงๆนะครับ

นี่คือขั้นบันไดที่เราต้องขึ้นไปไม่สูง ไม่กี่ขั้นเองครับ แค่เดินขึ้นเขาที่มีบันไดทั้งลูกเท่านั้น เห่อๆๆๆๆ
มาถึงจุดไหว้พระจุดแรกแล้วครับ กรวยดอกไม้สำหรับไว้พระของที่นี่สวยไม่เบาเลย


ทางเดินที่เราต้องเดินขึ้นไปครับ กว่าจะขึ้นไปถึงหืดขึ้นคอเหมือนกัน

ถึงแล้วสำหรับลานดูวิวที่ว่ากันว่าสามารถเห็นได้ทั่วทั้งจำปาสัก


ภายในเทวสถานจะมีพระพุทธรูปสำหรับสักการะ ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่ใช้ประกอบพิธีในศาสนาฮินดูไศวนิกาย เมื่อก่อนนี้ ตรงที่วางพระพุทธรูปองค์ประธานจะเป็นศิวลึงค์ชาวบ้านจึงเปลี่ยนเอาออกไปในภายหลัง ว่ากันว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีความศักดิ์สิทธ์มากชาวบ้านจึงนิยมนำพาานดอกไม้มากราบไหว้ ตรงจุดนี้เรียกกันว่า "หอไหว้" เดินขึ้นมาขนาดนี้แล้วเราก็ไม่พลาดที่จะนำพานดอกไหว้ไว้ขอพรจากองค์พระประธาน พานของเราเป็นพานดอกลั่นทมสวยเชียวนะครับ พานดอกไม้จะมีชาวบ้านนำมาวางไว้ให้บูชาชุดละ 20 บาท พร้อมแม่หญิงคอยผูกสายสายสิณญ์ให้ แม่หญิงที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใจ ค่อนข้างขี้อายครับ จะคอยทักทายผู้คนที่ขึ้นมาตลอด โดยจะได้ยินแว่วๆเป็นระยะว่า "สบายดี","บ่เป็นหยัง" ฟังแล้วน่ารักสบายหูดีครับ
บ่อน้ำเที่ยง เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี สมัยก่อนใช่ต่อท่อเพื่อเอาน้ำมารดศิวลึงค์ มาถึงยุคของเราก็ยังมีนักท่องเที่ยวและชาวบ้านมารองน้ำไปดื่มเพื่อความเป็นศิริมงคลในชีวิต
วันนี้เราสองคนเพลียทั้งจากการเดินทางและบาดเจ็บกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เมื่อเราใช้เวลากว่าครึ่งวันเดินเล่นที่นี่ เราก็ตัดสินใจไม่ไปตามตาดต่างๆอีก เพราะเนื่องด้วยสภาพร่างกายที่ต้องการพักผ่อนเราจึงตัดสินกลับไปโรงแรมเพื่อนอนพักเอาแรงสำหรับวันต่อไป....
Day 4 : วันนี้เราตัดสินใจกลับอุบลเนื่องจากเมื่อคืนนอนจมพิษไข้ด้วยกันทั้งคู่ อาจจะเพราะระบมจากแผลที่โดนรถชน เลยคิดว่าถ้าเกิดเจ็บป่วยหนักขึ้นมาเราควรมาพักในฝั่งไทยจะดีกว่า
ขากลับเรานั่งรถตู้ราคา 80 บาทต่อคน มาที่ช่องเม็กเพื่อข้ามฝั่งมานอนที่อุบลหนึ่งคืนเพื่อรอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น

วิวตรงหน้าโรงแรมที่เราพัก จุดนี้คือแก่งสะพือตอนน้ำขึ้นแบบเต็มที่ดูสวยไปอีกแบบนะครับ....
ทริปนี้ต้องขอลากันไปก่อนพบกันในทริปหน้านะคร้าบบบบ :) ราคาท่องเที่ยวลาวใต้ในครั้งนี้เราเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพียงคนละ 4,000 บาทเท่านั้นครับ หากเพื่อนๆท่านใดสนใจท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในราคาประหยัด แต่ไม่ลำบากอย่างเราก็อย่าลืมติดตามอ่านทริปอื่นๆ ของ MY Traveler กันต่อนะคร้าบบบบ.....
โมทยค่ะ....
ตอบลบหน้าตาแบบ "โหหหห... ลูกชิ้นน่า....จิงๆ "
ไม่รู้ว่าพอหรือป่าวเนี้ยยยย
^ ^
เม้น ๆ 555+ พอไหม
ตอบลบตัวปลิงหน้าเหมือนอ้วนยุ้ยเลยอ่ะ บวมเป่ง
ได้กลับบ้านเกิดเป็นไงมั่งคร้าาาา
ตอบลบหน้าโมทย์หิวมากเลยเหรอ
ตอบลบดูจ้องลูกชิ้นดิ !!! เล่นซะลูกชิ้นอายเลย
จาทำหน้าหื่นไปไหนอ่ะ
แวะมา ทักทายค่ะ
ตอบลบคุณโมทย์นี่น่ารักดีจังเลยนะคะ
พาคุณแม่ไปเที่ยวถึง ประเทศลาว
เหมือนวัน ผู้สูงอายุแห่งชาติเลย
ขอให้ความดีนี้ส่งให้คุณโมทย์แก่ให้ทันคุณแม่นะคะ
บ๊าบบาย..ยังไงจะแวะมาเม้นท์บ่อยๆนะ :)
อิจฉาสองคนนี้จริงๆ.......
ตอบลบอยากเที่ยวมั่งๆ.......
โห สวยอ่ะ แจ่มแจ๋วเลย
ตอบลบคล้าย ๆ ภาคเหนือบ้านเราเลย
ตอบลบสรุป
ตอบลบ- เคยไปมาแต่เวียงจันทน์ ต้องหาโอกาสไปใหม่อีกครั้งแล้วล่ะ
- ถ้าไม่ขึ้นหัวบล็อกว่าไปเที่ยวมา, จะนึกว่าคนในท้องถิ่นมาเขียนแนะนำการท่องเที่ยว เพราะหน้าตาใกล้เคียงกันมาก (55)
- น้ำตกที่สูงๆ นั่นน่ะสวยมากกกก
- แต่น้ำตกที่แกว่าสวยมากไม่เห็นจะสวยตรงไหน -*- (เอาละ ของจริงคงสวย)
- ภาพบางภาพ มันไม่สามารถบอกเล่าด้วยรูปถ่ายได้จริงๆ
- ปราสาทสวยมากกกกกกก (เติม ก.ได้อีกไม่รู้จบ)
- ทำไมเวลาแกไปเที่ยวต้องเกิดเรื่อง?
- ไปเวียดนามโดนโกงงี้ ไปลาวยังโดนรถเสยอีก เหนื่อยแทน
- ปลิงอ้วนเป่งเหมือนแกจริงๆ ด้วยพี่ยุ้ย ฮ่าๆ
- สุดท้ายนี้ ขอให้หมูน้อยแก่ให้มันคุณแม่นะ 555
เด็ก ๆ เค้าเป็นธรรมชาติ ดีนะ น่ารักดี..
ตอบลบพี่ 1
ต้องทำ Passport หรือว่าเสียแค่ค่าผ่านทางตรงด่านชายแดนอ่ะครับ
ตอบลบน่าไปมากๆๆๆ ครับ.. ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ครับผม
ตอบลบไม่ต้องมี Passport ก็ผ่านได้ครับแต่ค่าผ่านทางตรงชายแดนก็แล้วแต่อารมณ์ของเจ้าหน้าที่ครับ..
ตอบลบผมคนอุบลแท้ๆยังไม่เคยไปเลยครับ
ตอบลบน่าไปจังเลย อยากไปมั้งจัง
ตอบลบชีวิตของคุณทั้งสองคงจะมีความสุขมาก ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆมาให้ชม
ตอบลบไปแค่ช่องเม็ก ช่องตาอู ต้องหาโอกาสไปให้ได้ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ถ้าอยากดำน้ำมานี่เลยครับ http://nangrumbeachdive.blogspot.com/
ตอบลบ