
มะละกา...สู่กัวลาลัมเปอร์ Day 1
กลับมาแล้วครับ ทริปนี้เราเกาะกระแสเศรษฐกิจอาเซียนครับ คือพยายามเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียนเท่านั้น (จริงๆแล้วงบน้อยว่างั้นเหอะ) ทริปนี้เดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดแอร์เอเซียอีกเช่นเคยครับ
หลังจากที่เราลงเครื่องและเดินเข้ามาในสนามบินกัวลาลัมเปอร์จะพบว่าประชาชนของประเทศมาเลเซียมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่มาก ทั้ง ชาวจีน ชาวมาเลย์ ชาวอินเดีย และยังมีกลุ่มชาติอื่นๆอีกมากมายเลยครับ
DAY 1
แผนการเดินทางเที่ยวมาเลเซียในทริปนี้คือ 3 วัน 2 คืน ครับ โดยเครื่องออกจากสนามบินดอนเมือง 7.05 น. ก็จะถึงที่มาเลเซียในเวลาประมาณ 10 โมงเช้า เวลาของประเทศมาเลเซียจะเร็วกว่าเวลาของบ้านเรา 1 ชั่วโมง นะครับ
แผนการของวันแรกของเราคือเมื่อลงเครื่องที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์เรียบร้อยแล้ว เราจะต่อรถบัสไปที่เมืองมะละกากันก่อนเลย หลังจากที่เดินหาที่ซื้อตั๋วอยู่นานก็พอดีไปเจอรถจอดเทียบท่าอยู่แต่เดินวนตั้งนานเราก็ยังหาที่ซื้อตั๋วไม่เจอ เห็นชายวัยกลางคนท่าทางดุดันหน้าตาเหมือนบาเกียวผสมมูฮะมัดอาลี
แผนการของวันแรกของเราคือเมื่อลงเครื่องที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์เรียบร้อยแล้ว เราจะต่อรถบัสไปที่เมืองมะละกากันก่อนเลย หลังจากที่เดินหาที่ซื้อตั๋วอยู่นานก็พอดีไปเจอรถจอดเทียบท่าอยู่แต่เดินวนตั้งนานเราก็ยังหาที่ซื้อตั๋วไม่เจอ เห็นชายวัยกลางคนท่าทางดุดันหน้าตาเหมือนบาเกียวผสมมูฮะมัดอาลี
นั่งอยู่ 2 คน เลยเดินเข้าไปถามว่าที่ซื้อตั๋วมันอยู่ตรงไหน พี่แกก็พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ทำเสียงดุดัน ฮือๆ ใส่ ชี้ไม้ชี้มือ วุ่นวายไปหมด กะเหรี่ยงไทยสองคนก็ยิ่งงงหนัก หมู่เฮาทำอะไรผิดว่ะเนี่ย...
ถ้าพี่แกโมโหเกิดฮุคซ้าย ฮุคขวามามีหวังน็อคคาสนามบินแน่ คิดได้ดังนั้นจึงส่งท่าไม้ตายยิ้มสยาม ตาหวานเยิ้ม ไปให้พี่แกไม่นานพี่แกเลยเดินนำหน้าแล้วกวักมือเรียกเราให้เดินตามมาส่งถึงที่ขายตั๋วกันเลยทีเดียว แหมทำดุแต่จริงๆใจดีนะเนี่ย หลังจากนั้นแกยังอุตสาห์ทำไม้ทำมือบอกให้เรากลับมาขึ้นรถที่เดิมด้วย
ราคาตั๋วรถไปมาละกา RM 21.90 คิดเป็นเงินบาทไทยก็ง่ายๆครับเดิน 0 ตามหลังไปหนึ่งตัว เท่ากับ 210.90 บาท หรือประมาณ 211 บาทต่อคน นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงมะละกาเมืองมรดกโลก แหมแต่คนขับรถของเราแกใจเย็นเหลือประมาณจริงๆครับ ขับไปนั่งกินมะม่วงดองไป กินมะม่วงเสร็จก็นั่งตัดเล็บ ตัดจริงๆนะครับ ขับไปตัดเล็บไปใจเย็นเหลือเกิน ความเร็วไม่เคยเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย ทั้งๆที่ถนนก็ว่างเหลือประมาณ หลังจากนั้งรถมาครบสองชั่วโมงแล้วรถจะมาจอดเทียบท่าที่สถานี Malaka Sentral
เราก็ต่อรถ Panorama Melaka สาย 17 ในราคา RM 1 ก็ 10 บาท บ้านเราอ่ะครับ รถคันนี้จะเป็นรถบัสที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวเพราะจะวิ่งผ่าน และจอดรถที่จุดท่องเที่ยวสำคัญ รถ Panorama Melaka จะมีสองสี คือ สีแดง และสีน้ำเงิน โดยสามารถซื้อตั๋วได้สองประเภท คือในราคาเที่ยวเดียว หรือซื้อตั๋วครั้งเดียวแต่ขึ้นได้ทั้งวันในราคา RM 5 หรือ 50 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และสำหรับเด็กในราคา RM 2.50 หรือ 20.50 บาท แต่สำหรับเราเลือกซื้อแค่ตั๋วเที่ยวเดียวเพราะกะว่าจะเดินเล่นไปเรื่อยๆและเราสามารถไปลงรถตรงด้านหน้าของโบสถ์ Christ Church ได้เลยครับ
รถ Panorama Melaka
เพราะจุดเที่ยวแต่ละที่ไม่ห่างกันเลยเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงอีกที่แล้ว มะละกาเป็นรัฐทางตอนใต้ในประเทศมาเลเซียซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณช่องแคบมะละกาตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา และเป็นศูนย์กลางทางการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตกบนช่องแคบมะละกามากว่า 500 ปี มีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมโปรตุเกส ดัชต์และมาเลย์ นอกจากนี้ยังได้รับยกย่องให้เป็นนครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกาจากองค์การยูเนสโกอีกด้วย เมื่อก่อนมะละกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญและรุ่งเรืองมากมีการติดต่อซื้อขายและเป็นจุดสำคัญของเศรษฐกิจ จนได้รับฉายาว่า Golden Age และเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์มาเลเซียอยู่หลายครั้ง และมีมรดกตกทอดทางสถาปัตยกรรมของยุโรปอยู่มากมาย
โบสถ์แดงแห่งมะละกา หรือ Christ Church คือโบสถ์สีแดงแบบดัตช์ประยุกต์
"มะละกา" เริ่มต้นจากหมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่เปลี่ยนมาเป็นศูนย์กลางการค้าขายเครื่องเทศที่สำคัญที่สุด ระหว่างตัวันออกไปยังตะวันตก มาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของมาเลเซียที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์รวมถึงร่องรอยอารยะธรรมตะวันตก และเป็นเมืองท่าที่ชาวยุโรปเดินทางมาเอเชียเพื่อจอดเรือทำการค้าที่ช่องแคบมะละกา ก่อนเดินทางไปสู่ประเทศในคาบสมุทรแปซิฟิก ต่อมาใน ค.ศ 1509 โปรตุเกส เดินทางมาถึงมะละกาเพื่อขอตั้งสถานีการค้าแต่ถูกปฎิเสธ ทำให้เกิดสงครามขึ้น และในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ 1511 โปรตุเกสก็เป็นผ่านชนะ ทำให้มะละกาถูกยึดครอง และในต่อมาชาวดัตซ์ก็ได้เข้ามาขับไล่โปรตุเกสออกไปจากมะละกาอีก ทำให้มะลากากลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษตามสนธิสัญญาแองโกล - ดัตซ์ หรือสนธิสัญญาอังกฤษ - ฮอลแลนด์ ทำให้มะละกามีสถาปัตยกรรมของยุโรปอยู่หลายแห่งและกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่เราจะไปตะลุยกันนี่ไงครับ
ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ต้องแวะถ่ายรูปและเดินเยี่ยมชมนะครับ สีสันไม่ใช่อยู่ที่โบสถ์แดงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะดูครึกครื้นตรงรถสามล้อ ที่จอดรอนักท่องเที่ยว รถสามล้อแต่ละคันจะตกแต่งกันเต็มยศกันเลยครับ นึกภาพตามนะครับ นั่งสามล้อชมเมืองเก่า เปิดเพลงกังนัมสไตล์คลอไปด้วย โอ้วว เย้ เพลินตาเพลินใจทีเดียว
ร้านของของที่ระลึกด้านข้างโบสถ์ Christ Church
นักท่องเที่ยวถ่ายภาพกันรถสามล้อ
ภาพรวมโบสถ์ Christ Church
เดินถ่ายรูปจนเหนื่อยแล้ว ฝั่งตรงข้ามจะมีร้านขายขนมแล้วก็จิบน้ำแก้เหนื่อยด้วยนะครับ ร้านนี้สามารถหยิบขนมที่ต้องการเองได้ จะมีขนมหลายๆอย่างให้เลือก เช่น กะหรี่ปั๊บ มันทอด เผือกทอด กล้วยทอด แต่เป็นแบบของมาเลเซียเค้านะครับ รสชาติก็พอกล้อมแกล้มไปได้ แต่จุดขายอยู่ที่วิวด้านหน้าเป็นโบสถ์ Christ Church ด้านหลังเป็นแม่น้ำ ราคาก็ถูกเหลือเชื่อ 5 ชิ้น 20 บาท ครับ
ร้านขายขนมตรงข้ามโบสถ์ Christ Church
เดินทางถนนมาอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอป้อมปราการ A'Famosa หรือ Porta Da Santiago ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาด้านล่าง คือลักษณะของที่สถานที่แต่ละที่จะอารมณ์เหมือนวงเวียนแต่ละจุดจะอยู่ใกล้ๆกันตั้งอยู่เป็นวงกลม แนะนำให้เดินชม เดินเล่นไปเรื่อยๆนะครับ เพราะว่าแต่ละที่ไม่ไกลกันเลย อยู่ตรงโบสถ์ Christ Church ก็จะสามารถมองเห็นจุดอื่นๆได้เลย
ป้อมปราการ A'Famosa หรือ Porta Da Santiago
ป้อมปราการ A'Famosa หรือ Porta Da Santiago
เดินต่อมาอีกไม่กี่ก้าวก็จะเห็นรูปปั้นของนักบุญฟรานซิล เซเวียร์ อยู่บนเนินเขาจริงๆอยู่ใกล้กันมาก แต่มันต้องเดินขึ้นเนิน ตอนเราไปบรรยากาศจะเย็นๆ ครึ้มฟ้า ครึ้มฝน ลมแรง สุดยอดไปเลยลูกพี่
ทางเดินขึ้นรูปปั้นนักบุญฟรานซิล เซเวียร์
ทางเดินขึ้นรูปปั้นนักบุญฟรานซิล เซเวียร์
นักบุญฟรานซิล เซเวียร์
นักบุญฟรานซิล เซเวียร์
นักบุญฟรานซิล เซเวียร์ได้รับฉายาว่า "อัครสาวกแห่งอินเดีย" ด้วยเพราะท่านได้เผยแพร่ศาสนาไปทั่วเส้นทางอาณานิคมของพวกโปรตุเกส (อินเดีย จีน ญี่ปุ่น บอร์เนียวและหมู่เกาะโมลุกกะ) เมื่อท่านถึงแก่กรรมที่เกาะฉางซาน ใกล้กับเมืองกวางตุ้งเมื่อ ค.ศ 1552 ท่านถูกฝั่งอยู่ที่นั่นชั่วคราวแล้วจึงเคลื่อนย้ายมายังมะละกา รูปปั้นของท่านแกะสลักขึ้นเมื่อ ค.ศ 1952 ด้วยหินอ่อนสีขาว และมือขวาที่ขาดนั้นเกิดจากต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นล้มทำให้มือขวาขาดมาจนถึงปัจจุบัน
St. Paul's Church
ด้านใน St. Paul's Church
ด้านในจะเป็นศิลาหน้าหลุมฝังศพ ที่ฝังศพบุคคลสำคัญไว้ครับ เข้ามาจะมีคุณลุงท่านหนึ่งนั่งเล่นกีต้าร์ร้องเพลงเสียงใสๆให้ฟังเข้ากับบรรยากาศด้วย ยิ่งคนเดินเข้ามาด้านในเยอะ แกจะยิ่งร้องเสียงดังขึ้นทำให้บรรยากาศโรแมนติกขึ้นมากๆ เดินดูป้ายศพ บรรยากาศเย็นๆ ฟ้ามืดๆ ลมแรงๆ เหมือนพายุจะเข้า มีเพลงฝรั่งคลอเบาๆ...
ศิลาหน้าหลุมฝังศพ
ศิลาหน้าหลุมฝังศพ
บรรยากาศด้านหน้าสามารถมองเห็นทะเล
บรรยากาศด้านข้าง
เมื่อเดินสำรวจจนทั่วแล้ว เราจะเดินไปชมเรือสำเภา ที่เค้าจัดโชว์ไว้ครับ
บรรยากาศระหว่างทางเดิน
เรือสำเภาลำนี้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติการเดินเรือของมะลาะกาตั้งแต่สมัยเป็นท่าเรือ...
พิพิธภัณฑ์เรือสำเภา
ซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม
พิพิธภัณฑ์เรือสำเภานี้ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 60 บาท ครับ ในบริเวณรอบๆที่เราเดินผ่านมา จะมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตและเรื่องราวของพื้นที่อยู่หลายที่มาก แต่เนื่องจากเรามีเวลาในการเดินจำกัดเพราะมาถึงมะละกาก็อยู่ในช่วงบ่ายแล้วจึงเลือกเข้าเฉพาะที่เราอยากดูเท่านั้นครับ
ภายในพิพิธภัณฑ์เรือสำเภา
เงินสกุลโบราณต่างๆ
กัปตันเรือ
บรรยากาศบนดาดฟ้าเรือ
ด้านหลังเรือสำเภาจะเป็นแม่น้ำ มีเรือสำหรับนำเที่ยวชมบรรยากาศชีวิตของชาวมะละกาด้วย มีท่าเรือให้เลือกขึ้นได้หลายท่าทีเดียวครับ...
กังหันลม
บ้านริมน้ำของชาวมะละกา
เดินมานานแล้วเริ่มกระหายน้ำเราเดินเข้าไปในซอยขายของที่ระลึกเพื่อหาน้ำแก้กระหายกันดีกว่า
ร้านขายของที่ระลึก
ร้านขายของที่ระลึก
ร้านขายของที่ระลึก
ของที่ระลึกที่มะละกาจะเป็นพวกรองเท้าเกี๊ยะแบบของจีน พวกพู่ห้อยเอว พวกกุญแจ เสื้อสกรีนว่ามะละกา และก็ของกระจุกกระจิก แต่ที่เราจำไม่ลืมคือร้านขายน้ำมะพร้าวครับ เค้าขายเป็นแก้ว แก้วละ 15 บาท ดูท่าทางน่ากินมาก ร้านก็ดูดี เราก็ด้วยความกระหายน้ำซื้อมาลองกิน...
เค้าทำเราได้นี่มันน้ำเปล่าผสมน้ำเชื่อมนี่หว่า แต่ก็หวานๆ ดีเหมือนกันนะ เจ็บจิ๊ดดด...
น้ำมะพร้าวในตำนาน
ตอนแรกเราวางแผนกันมาว่าจะมานอนที่มะละกา 1 คืน แต่คิดไปคิดมาเลยว่าจะเที่ยวมะละกาจนถึงเย็นๆแล้วจะกลับเข้าไปกัวลาลัมเปอร์ดีกว่า เพราะจะได้ไม่เสียเวลายอมเหนื่อยถึงดึกหน่อยเผื่อได้เดินเล่นกลางคืนที่กัวลาลัมเปอร์สัก 2 คืน ตอนเช้าก็ได้ออกไปเที่ยว Batu Caves เร็วๆ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางจากมะละกาตอนเช้า...
การเดินทางกลับเข้ากัวลาลัมเปอร์ก็ไปรอรถ Panorama Melaka ที่จุดเดิมสาย 17 เหมือนเดิม ที่หน้าโบสถ์ Christ Church เพื่อเข้าไปที่สถานีขนส่งต่อรถบัสเข้ากัวลาลัมเปอร์...
รถบัสเข้ากัวลัมเปอร์จะออกทุก 30 นาที จะมีรถตลอดถ้าจำไม่ผิดเที่ยวแรกมีตอนตี 4 เที่ยวสุดท้าย 4 ทุ่ม ครับ ใช้เวลาเดินทางเข้่ากัวลาลัมเปอร์สองชั่วโมงครึ่ง เมื่อเราถึงกัวลาลัมเปอร์ก็ประมาณสามทุ่มเกือบๆสี่ทุ่มแล้วครับก็เดินทาโรงแรมกันเลย...
อย่า อย่า อย่าคิดว่าเราจะจองโรงแรมมาก่อนนะครับไม่มีทาง ถ้าจองก่อนก็คงไม่ใช่เราคิดดูว่าเสร่อแค่ไหนมาถึงกัวลาลัมเปอร์จะสี่ทุ่มอยู่แล้วต้องมาเดินหาโรงแรม แต่ถึงเราไม่จองเราก็เตรียมข้อมูลมาพอสมควรว่าที่ไหนมีโรงแรมอะไรบ้าง อยู่ตรงไหน ราคาประมาณเท่าไหร่ โดยจุดที่เราเลือกเป็นศูนย์กลางที่สามารถต่อรถไปไหนต่อไหนได้สะดวกคือตรงใกล้ๆสถานี KL Sentral แถวๆนั้นก็จะมีหลายโรงแรมเลยครับมีตั้งแต่ห้าดาว ไปจนถึงดาวเดียว เราเลือกพักที่โรงแรม My Hotel ครับ ราคาก็คืนละ 1,100 บาท สภาพห้องก็พอรับได้ แต่แคบไปหน่อยมีแอร์ น้ำอุ่น ทีวี กาแฟ ให้ ถือว่าเอาไว้แต่นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงครับ...
ไม่มีความคิดเห็น: