วัดบางกุ้ง

เดินทางมาก็มากมายหลายที่ คราวนี้เรามาเข้าวัด ไหว้พระเพื่อเพิ่มศิริมงคลให้ชีวิตกันบ้างดีกว่าครับ แต่ไหนๆจะไปทั้งที ก็ต้องหาวัดที่สามารถได้เที่ยวดูวิวทิวทัศน์ไปในตัวด้วย หลังจากที่นั่งหาข้อมูลเราก็เจอกับวัดบางกุ้ง วัดที่โดนปกคลุมอยู่ในต้นโพธิ ในฐานะที่เป็นชาวพุทธคนหนึ่ง ก็ทำให้เกิดความเสื่อมใส อยากจะไปเห็นกับตาตัวเองสักครั้งในชีวิต สถานที่ก็ใกล้ๆกรุงเทพแค่นี้เอง  เดินทางก็ไม่ยากแค่สมุทรสงคราม หรืออัมพวานี่เอง

วัดบางกุ้ง เคยเป็นค่ายของทหารเรือไทยที่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงโปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายที "ค่ายบางกุ้ง" โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของค่ายไว้ เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเคารพบูชาของทหาร แต่หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 ค่ายบางกุ้งจึงร้าง  ต่อมาเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานีจึงทรงโปรดให้ชาวจีน จากระยอง ชลบุรี และกาญจนบุรี รวบรวมผู้คนมาตั้งค่ายทหารเพื่อรักษาค่ายอีกครั้ง จึงทำให้มีชื่อเรียกอีกชื่อคือ "ค่ายจีนบางกุ้ง"

และในปี พ.ศ 2311 พระเจ้ากรุงอังวะยกทัพผ่านกาญจนบุรีมาล้อมค่ายบางกุ้ง พระเจ้าตากสินมหาราชจีงโปรดเกล้าให้พระมหามนตร (บุญมา) เป็นแม่ทัพยกทัพไปช่วยทหารขับไล่พม่าออกไป ทำให้พม่าแตกพ่าย หลังจากการสู้รบครั้งนั้นทำให้ค่ายบางกุ้งถูกทิ้งร้างเกือบ 200 ปี จนมาถึงปี พ.ศ 2510 กระทรวงศึกษาธิการได้เข้ามาตั้งค่ายลูกเสือขึ้น (ปัจจุบันค่ายลูกเสือถูกยกเลิกไปแล้ว) และสร้างศาลพระเจ้าตาก สินมหาราชไว้เป็นอนุสรณ์

ด้านในวัดบางกุ้งจะมีโบสถ์ที่ถูกปกคลุมด้วนต้นโพธิ ซึ่งเป็นอุโบสถหลังเดิมที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรี อยุธยาเป็นราชธานี โบสถ์นี้ถ้ามองจากข้างนอกจะเหมือนเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ เพราะโดนต้นโพธิ และต้นไม้อื่นๆโอบด้วยรากไว้ทั้งหมด

ซึ่งก็เหมือนธรรมชาติจะช่วยบันดาลให้เก็บรักษาโบสถ์เพื่อคงรูปอยู่ได้ด้วยสภาพเดิม และเพิ่มความขลัง ทำให้ดูน่าเลื่อมใสเข้าไปอีกมาก 

ด้านในมีพระพุทธรูปประดิษฐ์เป็นองค์พระประธานอยู่ ชาวบ้านจะเรียกกันว่า "หลวงพ่อโบสถ์น้อย" หรือ "หลวงพ่อนิลมณี" นอกจากนี้ด้านในยังมีจิตรกรรมฝาผนัง ตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาเล่าเรื่องของพุทธศาสนา ไว้ให้ศึกษาด้วยแต่อาจจะลบเลือนไปบางส่วนตามกาลเวลา

"หลวงพ่อโบสถ์น้อย" หรือ "หลวงพ่อนิลมณี" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดใหญ่สมัยอยุธยาตอนปลาย เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้เป็นที่เลื่อมใสและเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านมาตลอด

สำหรับผู้ที่เดินทางไปแบบไม่รู้ประวัติเลยก็ไม่ต้องวิตกนะครับ เพราะจะมีไกด์ตัวจิ๋วคอยแนะนำ และเล่าประวัติของวัดให้กับผู้ที่เข้าไปไหว้หลวงพ่อฟังอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ฟังแล้วก็อย่าลืมช่วยค่าเทอมน้องๆหนูๆกันบ้างนะครับ

บรรยากาศรอบๆวัดจะมีผู้คนหลั่งไหลกันมาจากทั่วสารทิศ แต่ก็ไม่ได้แออัดถึงมากเกินไป ขนาดเราไปในช่วงวันหยุดยังพอรับได้ ไม่แน่นขนาดหายใจไม่ออก 

หลังจากไหว้พระขอพระกันแล้วก็อย่าลืมแวะขอพรจากพระฤาษีชีวกโกมารภัจจ์ให้อย่าเจ็บอย่าไข้ ในบริเวณนั้นก็จะมีหม้อต้มสมุนไพรไว้แจกจ่ายกับญาติโยมที่มีจิตศรัทธาไว้ดื่มกินได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละท่านนะครับ 

เรื่องเล่าอีกอย่างของวัดบางกุ้ง คือ บางครั้งผู้มีจิตศรัทธามาไหว้พระ หรือเข้ามาในบริเวณวัดมักจะเจอผู้หญิงสวมชุดไทยสไบเฉียงสีม่วงบ้าง สีอื่นๆบ้างมายืนต้อนรับอยู่ในบริเวณวัด คนที่มาจะเจอกันบ่อยๆ หรือชาวบ้านที่มาเฝ้ายามวัดในยามค่ำจะได้ยินเสียงดนตรีไทย และมักจะไม่สามารถหาที่มาได้ว่าเสียงดังมาจากที่ไหน  ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันทีเดียวครับ ชาวบ้านแถวนั้นได้ยิน ได้เห็นกันเป็นประจำ แท้จริงแล้วผู้หญิงที่ได้พบเจอกันบ่อยๆนั้นคือ "แม่นางไม้มณฑาทิพย์" นั้นเอง ซึ่งก็เล่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มากครับ

บรรยากาศภายในวัดก็จะมีศาลาให้ผู้ที่มาทำบุญสามารถเข้าไปถวายสังฆทานได้ หรือไม่พระประจำวันเกิดให้ร่วมทำบุญตามอัธยาศัย 

นอกจากนี้ยังมีหุ่นนักสู้ที่จำลองท่าทางต่อยมวย และการต่อสู้ด้วยกระบี่กระบองไว้ให้่เดินถ่ายรูป หรือศึกษากระบวนท่าได้ด้วย

เดินไปอีกสักหน่อยจะมีคอกเลี้ยงม้า สามารถเอาหญ้าไปให้อาหารได้

และหากข้ามถนนไปอีกฝั่งก็จะเจอกับสวนสัตว์ขนาดย่อมๆ มีสัตว์ให้เดินชมหลายชนิดเหมือนกัน กรงนี้เป็นเต่า 6 ขา ซึ่งจะอยู่ปนกับตัวอื่นที่มา 4 ขา ต้องมองหาให้ดีว่าตัวไหนที่แปลกกว่าเพื่อนนะครับ

ต่อมาก็จะเจอกรงฮูฐนอนเล่นอยู่ ด้านหน้าจะมีผักบุ้ง กับอาหารไว้ให้ผู้เข้าชมสามารถซื้อไปเลี้ยงสัตว์ได้

ใกล้ๆกันก็จะกรงกวางอยู่ ในกรงจะมีประมาณ 5 - 6 ตัวได้ครับ

อีกกรงก็จะเป็นกรงพังพอน ก็มีประมาณไม่เกิน 5 ตัว เหมือนกัน วิ่งกันขวักไขว้เลยเชียว 

กรงนี้ก็เป็นค่างใกล้กรงค่างก็จะมีลิงอีกสองสามชนิดอยู่ด้วย

เจ้าตัวนี้คือห่านครับ ดุน่าดูทีเดียว มีอยู่ฝูงหนึ่งกรงนี้จะคึกครื้นกว่าเพื่อนร้องกันเสียงดังลั่นเลยครับ

กรงนี้เป็นลูกหมูป่า ที่ถูกแยกตัวออกจากฝูงเพราะขาหลังสองข้างพิการ 

ส่วนกรงนี้เป็นฝูงหมูป่า กรงนี้อยู่กันหลายตัวเหมือนกันมีพื้นที่ให้เกลือกกลิ้งเล่นโคลนกันได้ แต่ละตัวเลยมีแต่โคลนเต็มไปหมด เหลือแต่ลูกตา

กรงนี้เป็นส่วนของกระต่ายอยู่กันเป็นฝูงเหมือนกันครับ

นอกจากด้านบนแล้วยังมีแพะ นกยูง นกต่างๆ อีกหลายชนิดด้วยกันครับ แต่ความเห็นส่วนตัวที่ได้เดินดูแล้วบอกตรงๆรู้สึกสงสาร ไม่ใช่ว่าที่วัดเค้าเลี้ยงไม่ดีหรืออะไรนะครับ แต่อยากให้เค้าอยู่ตามธรรมชาติมากกว่า ดูจากแววตาของแต่ละตัวมันดูเลื่อนลอยบอกไม่ถูก ลองสังเกตกันดูนะครับ ไม่ว่าสวนสัตว์ที่ไหนก็แล้วแต่ หรือคิดเล่นๆว่ากลับกันถ้าเป็นเราโดนขังกรงให้แล้วสัตว์ประเภทอื่นๆมาคอยยืนมอง คอยยื่นอาหารให้ คงไม่มีความสุขแน่ๆ.....

ตรงนี้เป็นวิวตรงท่าน้ำหลังวัดครับ สวยดีเหมือนกัน จะเห็นบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำ บางบ้านก็ออกมานั่งกินข้าวตรงชานเรือน บางบ้านเด็กๆก็ออกมานั่งเล่นตากลมกัน บรรยากาศดีมากๆครับ 

การเดินทางไปวัดบางกุ้งก็ไม่ยากเลย จากกรุงเทพก็วิ่งตรงไปทางหลวง 325  หรือเส้นแม่กลองอัมพวานั้นแหละครับ ก่อนถึงตลาดน้ำอัมพวาให้สังเกตทางแยกซ้ายมือ พอถึงให้เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลอง ตรงไปถึงสามแยกให้เลี้ยงขวา ผ่านวัดภุมรินทร์ จนถึงสามแยกวัดบางแคใหญ่ เลี้ยงขวาตรงเข้ามาเรื่อยๆจะเห็นกำแพงวัดบางกุ้งครับ

หรือถ้าไม่มีรถก็สามารถนั่งรถสองแถวสายแม่กลอง - วัดปราโมทย์ โดยคิวรถจะอยู่บริเวณธนาคารนครหลวงไทยในตัวเมืองสมุทรสาคร รถจะวิ่งผ่านหน้าวัดบางกุ้งเลยครับ 

หรือถ้ามาจากตลาดน้ำอัมพวาก็จะมีเรือพาเที่ยวชมวัดต่างๆในบริเวณแม่น้ำแม่กลอง เส้นทางนี้ก็สะดวกดี สามารถเที่ยวได้หลายที่นิยมมากันเป็นหมู่คณะ 

วันหยุดนี้หากไม่มีโปรแกรมไปไหนลองไปเที่ยวกันดูนะครับ ใกล้ๆแค่นี้เองลองไปชิมบรรยากาศริมแม่น้ำ  หรือล่องเรือชมวัดเก่าตามประวัติศาสตร์ดูบ้างก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ....