Singapore เมืองแห่งการใส่ใจรายละเอียด DAY 2

DAY 2

เช้าวันนี้เราออกจากห้องพักแต่เช้า เพื่อเดินทางไป Sentosa แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ระหว่างเดินทางไปขึ้น MRT ที่สถานี เราจึงแวะเติมพลังที่ร้านอาหารแถวถนน Geylang เป็นร้านอาหารที่มีโซนของพวกพี่แขกเค้าครับ



รสชาติจัดจ้านมากครับ สำหรับแกงและก็มีปลาทอด ไก่ทอด แป้ง และข้าว เผ็ดแบบเผ็ดร้อนเครื่องเทศ รสชาติก็ธรรมดาพอประทังชีวิตได้แต่ถ้าเป็นคนทานไม่เยอะแนะนำให้สั่งจานเดียวมาแบ่งกันครับ เพราะกินกันไม่ไหวจริงๆมาเป็นถาดเลย ไปทานอาหารที่ไหนไม่เคยอร่อยเหมือนทานที่เมืองไทยเลยจริงๆครับ อาหารที่นี่ไม่ว่าฝั่งแขก หรือฝั่งจีน จะรสชาติจืดๆมันๆ แทบทั้งนั้น

หลังจากที่ท้องอิ่มก็ออกเดินทางไปสู่ Sentosa กันต่อ โดยขึ้น MRT จากสถานี Kallang ไปลงสถานี Vivocity ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอครับเพราะที่นี่จะมีป้ายบอกไปตลอดทาง ทุกอย่างเป็นระเบียบหมดหาง่าย พอมาถึงก็เข้าตึก Vivocity เดินขึ้นไปบนชั้น 3 สามารถซื้อบัตรไปกลับสำหรับค่าต่อ MRT สาย Sentosa คนละ 3 เหรียญสิงคโปร หรือใช้บัตร EZ-Link ได้เลยครับ นั่งชมนกชมไม้ ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง Sentosa แล้วครับ



เรามาถึงตั้งแต่ 8 โมงเช้า ยังไม่ทันเปิดขายตั๋วกันเลยครับ ก็เลยเดินเล่นถ่ายรูปนั่นนี่โน้นไปเรื่อย วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมากครับ ขนาดยังไม่สายมากก็ร้อน แดดเปรี้ยงเลย

ป้ายบอกทางไม่ต้องกลัวหลงเลยครับ

ทางไป Casino ต้องลงบันไดเลื่อนไปอีกชั้นนะครับ



สำหรับผู่ที่เตรียมจะไป Casino ต้องแต่งกายสุภาพถึงจะเข้าได้นะครับ กางกางต้องขายาว รองเท้าหุ้มส้นเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ให้เข้า....

นายคนนี้ไม่รู้เครียดอะไร นั่งทำท่าคิดหนัก



Merlion อีกตัวที่ Sentosa สงสัยเราจะไปเช้าเกินไปเลยไม่ยอมพ่นน้ำ แต่ก็ดีไปอย่างนะครับไปเช้าๆ ไม่ต้องแย่งมุมถ่ายรูปกับคนอื่นๆ





Merlion จริงๆแล้วเค้าออกแบบมาเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร 1964 โดยนายฟราเชอร์ บรูนเนอร์ ต่อมาไม่นานเจ้าสัตว์ประหลาด หัวเป็นสิงโต หางเป็นปลา ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปรในสายตาของคนทั่วโลก ส่วนตัวที่เป็นสิงโต หมายถึงสิงโตที่เจ้าชายซางนิลา อุตามะ ได้พบตอนที่เจอเกาะสิงคโปร์ ใน ค.ศ. 11 และส่วนหางที่เป็นปลา เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโบราณที่ชื่อว่า "เทมาเซ็ค" เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลได้ว่า ทะเล จึงกลายเป็น Merlion หรือ สิงโตทะเล ด้วยประการฉะนี้แล

ร้านขายขนมหวานตกแต่งร้านอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู

ตัวนี้ก็น่ารัก



ตู้ขายตั๋วยังไม่เปิดเลยครับ คนก็เริ่มมากขึ้นตามเวลา ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ ที่ครบวงจรมากครับ มีทั้งโรงแรม สวนสนุก ทะเล casino ร้านอาหาร และอื่นๆอีกมากมาย

มุมนี้มุมบังคับ ใครมาไม่ได้ถ่ายรูปกับ Universal ถือว่ามาไม่ถึงนะครับ...



เดินมาด้านหลังจะเป็นชายหาดครับ สำหรับเกาะ Sentosa เดิมเป็นเกาะของหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งต่อมาเกิดโรคระบาดจนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เลยได้ชื่อเป็นภาษามลายูว่า บลากัง มาติ (Balakang Mati) ซึ่งหมายถึงเกาะแห่งความตาย ต่อมาสมัยสงครามโลก อังกฤษใช้เกาะนี้เป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการโจมตีทางน้ำ และเมื่อปี 1968 หลังจากที่อังกฤษถอนทัพไปแล้ว รัฐบาลสิงคโปร์จึงได้ปรับปรุงเกาะให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเปลี่ยน ชื่อเกาะเป็นเซ็นโตซ่า (Sentosa) ซึ่งหมายถึงสันติภาพและความสงบสุข และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการในปี 1972



สำหรับสนนราคาค่าเข้าสวนสนุกอยูที่ 66 เหรียญสิงคโปรต่อคน ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,600 บาทต่อคน ราคาค่อนข้างแพง สำหรับท่านใดต้องการจองตั๋วหรือหาข้อมูลก่อนไปสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.sentosa.com.sg นะครับ



เดินรอไปรอมาอากาศก็เริ่มร้อนตั๋วก็ยังไม่ได้จองมา เก้าโมงก็ยังไม่เปิดขาย คุณเธอก็เริ่มบ่นๆร้อนๆ แพงๆ ไม่อยากเข้าคนเยอะ ไม่อยากเบียด เราเลยต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในระหว่างเที่ยว เอาละครับงานเข้าแล้ว เอาไงดีละทีนี้ คิดไปคิดมามีอยู่ที่หนึ่งน่าจะไม่ร้อนอากาศคงธรรมชาติดี ไปสวนนกจูล่งดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็นั่งรถออกเพื่อเดินทางไปสวนนกจูล่งทันทีทันใดเลยครับ โดยนั่งรถ MRT โดยไปลงที่สถานี Boon Lay จากนั้นก็นั่งรถเมล์สาย 194, 251 ไปลงหน้าสวนนกได้เลยครับ



ชาวเมืองสิงคโปร์กำลังรอรถเมล์กันอยู่ครับ ที่นี่เราชอบมากตรงที่ว่ารถเมล์จะจอดตรงป้าย ถ้าไม่มีป้ายจะไม่จอดรับผู้โดยสารเลยครับ ทุกอย่างเป็นระเบียบหมด

สภาพบนรถเมล์เค้าครับ



รถเมล์หรือระบบขนส่งต่างๆในสิงคโปร์สามารถใช้บัตร EZ-Link ได้ทั้งหมดครับ เพียงแค่นำบัตรไปแตะก่อนขึ้นและลงรถเท่านั้น ซึ่งสะดวกมากแต่ถ้าไม่ได้ทำมาก็สามารถจ่ายเงินสดได้ตรงทางขึ้นได้



ส่วนตั๋วค่าเข้าจะมีสองราคานะครับ คือถ้า 40 เหรียญสิงคโปร์ก็จะได้ถ่ายรูปกับนกแก้ว มีนกนั้นนี่มาเกาะแขนให้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดใครชอบแบบนี้ก็เลือกซื้ออันนี้ กับ 23 เหรียญสิงคโปรเดินชมนก ชมไม้ตามใจ จะไปถ่ายตรงไหนก็ตามใจ ประมาณนั้น ถ้าขี้เกียจเดินก็จ่ายค่ารถนั่งชมอีก 2.50 เหรียญสิงคโปร์



พอซื้อเสร็จเค้าก็จะมีคูปองสำหรับนั่งรถ มาให้คนละสามสถานีเพื่อไว้สำหรับนั่งรถชมแต่ละสถานี

ก่อนขึ้นรถไปชมด้านในเราก็เดินมาดูตรงขุดแรกกันก่อนครับ

ตรงนี้เป็นบ้านเพนกวิ้นครับ ทำน่ารักดีมาก ด้านนอกจัดแต่งเป็นเรือ



ด้านในก็จัดสรรพื้นที่ให้เพนกวิ้นน้อยๆน่ารักว่ายน้ำ แล้วก็มีพื้นที่สำหรับเดินเล่น กว้างขวางดี สุขภาพจิตของกวิ้นน้อยก็ดีครับ บ่งบอกถึงความใส่ใจของสวนนกจูล่งว่าไม่ได้ทอดทิ้ง ได้รับความดูแลเป็นอย่างดี ไม่ดูน่าสงสารเหมือนกวิ้นที่บนห้างในบ้านเรา...

ของที่ระลึกหน้าบ้านของเพนกวิ้นครับ มีตัวเล็กตัวน้อย หลากหลายราคาแล้วแต่จะเลือก

ต่อมาอีกหน่อยก็เป็นถิ้นของเจ้านกแก้วเค้าครับ เกาะคอนกันแต่ละตัวสวยๆทั้งนั้นเลย

อันนี้ถ้าตั๋ว 60 เหรียญจะมีมาเกาะแขนให้ถ่ายรูปได้ด้วยนะครับ เหมือนซาฟารีเวิลด์บ้านเราเลย

หลังจากขึ้นรถเพื่อชมสวนนกแล้ว ก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ในมุมสูง จริงๆจะมีการแสดงต่างๆของนกด้วยนะครับแต่ตอนเราไปเค้าเพิ่งแสดงเสร็จไปเลยอดดูตามระเบียบ



คือมีกรงนกนั้นนี่ทุกจุดเลยครับ มีแต่กรงใหญ่ๆ เห็นนกตัวกระจิ๊ด นกอะไรบ้างก็มองไม่ทัน มีแต่กรงขนาดใหญ่กับต้นไม้ เอาไงดีละทีนี้ หลังจากนั่งไปจนครบสถานีแล้วมันหงุดหงิด ไม่ได้ดังใจเห็นแต่กรงนกมันจะงามตรงไหน ตัดสินใจเดินเลยครับทีนี้ เดินกลับไปใหม่อีกครั้ง

เจอเจ้านี้เลย เฮ้อ!!! ค่อยชื่นใจน้อยไม่ใช่เห็นแค่กรงมุมสูงไม่ได้เรื่องเลย เสียค่าโง่กันไปตามระเบียบครับ

ฟลามิงโก้กำลังเต้นรำลั่นล้า แลน่ารัก



เค้าจะแบ่งเป็นโซนๆ โซนนี้มีนกนั้นนี่โน้น ซึ่งอยากแนะนำให้เดินชมจะดีกว่าครับ มีทั้งน้ำตก บรรยากาศดีๆ นั่งรถคุณจะไม่ได้เห็นอะไรเลย อย่างที่บอกคือเห็นแต่ต้นไม้กับกรงนกสูงๆขนาดใหญ่เต็มไปหมด

กล้องวงจรปิดไว้ดูไข่นกที่กำลังจะฟักเป็นตัว



โซนนี้เป็นโซนของนกที่มีขนาดใหญ่มากๆ อย่างนกกระจอกเทศ จริงๆยังมีอีกหลายชนิดมากแต่ด้วย เราพกกล้องขนาดเล็กไปพอถ่ายมาแล้วภาพมันจะเบลอเลยเก็บมาได้ไม่หมดทุกตัว

และนกก็มีหลากหลายชนิดมากจริงๆครับ บางอย่างก็เคยเห็น บางตัวก็ไม่เคยเห็นมาก่อนมีหลากหลายชนิด แบ่งไว้ในกรงขนาดใหญ่และกว้างขวาง (ลักษณะเหมือนโดม กว้าง หลังคาสูงเทียมยอดไม้) ให้เราสามารถเดินเข้าไปด้านในได้เพื่อชมนกได้ จะมีนกบางตัวเดินตามเรา บางตัวก็บินมาวนเวียนใกล้ บางตัวก็กินผลไม้ เชื่องมากๆครับ อากาศก็เย็นสบายดี ไม่อบอ้าวเหมือนในเมือง



เพนกวิ้นว่ายน้ำเล่นในสระจำลอง จริงๆเราประทับใจที่นี่นะครับ แต่เนื่องจากคุณภาพของกล้องที่พกติดตัวไปไม่ดีเท่าที่ควรจึงไม่สามารถเก็บภาพได้มากดังใจต้องการ เอาไว้ให้เพื่อนๆไปลุ้นกันเองบ้างดีกว่า

พอชมนกชมไม้กันสมควรแก่เวลาแล้วเราก็เดินทางกลับเข้าเมือง เพื่อจะไปชมสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี และไฟในเมืองสิงคโปรกันต่อครับ แต่ก่อนอื่นต้องแวะหาอะไรเติมพลังกันก่อน



จานนี้เป็นข่าวผัดใส่ไข่ดาว เน้นไข่ดาว สำหรับราคาค่าอาหารต่อหนึ่งจานร้านธรรมดาก็อยู่ที่ราคาโดยประมาณ 100- 200 บาท ครับแล้วแต่ชนิดของอาหาร อันนี้ยังไม่รวมค่าน้ำนะครับ



จานนี้คือหมูผัดพริกไทยดำ เค้าใส่พริกไทยเยอะมากจนท้องปั่นป่วนเลยครับ ทานนิดหน่อยอร่อยดี แต่ทานไปทานมาออกแนวเลี่ยน สำหรับสิงคโปร์จะมีห้างสรรพสินค้าแทบทุกมุมเมืองนะครับ หากต้องการไปช้อปปิ้งรับรองไม่ผิดหวัง เพราะห้างสรรพสินค้าเยอะมากเดินไปทางไหนก็เจอแต่ราคาก็พอๆกับบ้านเรา บางอย่างก็ถูกกว่าไม่กี่ร้อย บางอย่างก็แพงกว่า แต่ก็จะมีสินค้าแบรนเนมบางอย่างที่บ้านเรายังไม่มีนะครับ



ย่าน River Quay จะมีผับและร้านอาหารมากมายให้เลือกนั่งชิวๆ ได้ตามถนัดเลยครับ สำหรับท่านที่อยากไปโยกย้ายส่ายสะโพกก็ไม่ผิดหวังเดินไปด้านในก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย

เราชอบตึกแถวนี้มากเพราะทาสีสันได้สวยงาม หวานจับใจทีเดียว



ร้านนี้ดังครับ ที่เค้าว่าจัดร้านเป็นคลินิค ให้ผู้ป่วยมารักษาพยาบาล ออกสื่อและแนะนำในหนังสือท่องเที่ยวไปทั่วโลกทีเดียว

เก้าอี้สำหรับนั่งดื่มกินครับ แต่ทีเด็ดยังไม่หมดแค่ตรงนี้



นี่ครับเราไปยืนดูผู้มาใช้บริการในร้านนี้ เค้าดื่มเหล้ากันทางสายน้ำเกลือนะเออ คือจะให้เรานั่งรถเข็นแล้วมีเสาสำหรับแขวนน้ำเกลือ เหมือนในโรงพยาบาลแบบนั้นเลยครับ ก็จะเอาเหล้าหรือเบียร์ที่เราสั่งมาแขวนไว้บนเสา คือมันเป็นถุงน้ำเกลือเราดีๆนี่แหละครับ แต่เปลี่ยนเป็นเหล้า หรือเครื่องดื่มที่เราสั่งไปมาแทน เสร็จแล้วก็จะให้เราดื่มผ่านทางสายยาง ที่เหมือนสายน้ำเกลือเวลาเราป่วยเลย เพียงแต่เปลี่ยนหัวตรงเข็มให้เป็นจุกสามารถดูดน้ำจากตรงนั้นได้ เออเอากะแกสิ แต่เราดูไปดูมาแลน่าสงสารคนที่มาดื่นกินนะครับเหมือนคนป่วยอาการหนักแต่อดที่จะดริ้งไม่ได้เลย

Singapore flyer ยามค่ำคืน

ตึกทุเรียนเปิดไฟสว่างจ้า สวยเชียวครับ



เมืองเค้าเปิดไฟกันขนาดนี้ไม่รู้ต้องเสียค่าไฟเดือนละเท่าไหร่นะเนี่ย เอหรือว่าจะมีนโยบายจ่ายค่าไฟฟ้าครึ่งหนึ่งเหมือนบ้านเรา ก็ว่าไปนั้นครับ จริงๆแล้วเราว่าคงเป็นเพราะต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวประเทศเค้ามากกว่า ถ้าไม่มีตึกสูงๆ ไฟสวยๆแบบนี้ สิงคโปร์ก็จะไม่มีจุดดึงดูดให้น่าสนใจเลยจริงๆครับ

เพราะบ้านเค้าไม่ได้มีน้ำตก มีป่าเขา ธรรมชาติสวยงามเหมือนบ้านเรา

จึงต้องคิดค้นหาวิธีเรียกนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นรายได้หลักอีกทางหนึ่ง



เกิดเป็นคนไทยแสนสุขใจ ธรรมชาติรื่นรมย์ น้ำตก ป่าเขา ทะเล เรามีหมด ตึกสูงระฟ้า ห้างใหญ่ๆ เราก็มีข้าวของก็ราคาพอสู้ไหว จงภูมิใจเถิดครับที่เกิดเป็นคนไทย ขนาดบ้านเค้าไม่มีอะไรยังพยายามสร้างนั้นนี่ เพื่อพัฒนาประเทศของตัวเอง มีกฎระเบียบทุกสิ่งทุกอย่าง ตรงไหนมีพื้นที่ว่างสิงคโปร์จัดต้นไม้ สนามหญ้า ไปใส่หมดนะครับ ขนาดร่องเล็กๆในสถานี MRT พี่แกยังเอาดินไปลงเพื่อปลูกต้นไม้นะเออ เราเห็นแล้วนึกชมเลยว่าความพยายามเป็นเลิศ ละเอียดอ่อนมากจริงๆ





สำหรับเราแล้วแค่รักษาไว้ อย่าไปทำลายแค่นั้นเองครับ ง่ายๆ ถ้าไม่สร้างก็อย่าทำลายบ้านเราก็น่าอยู่แล้วครับ หลังจากเดินชมไฟยามค่ำคืนจนอิ่มแล้วก็ลาไปพักผ่อนเก็บแรงเพื่อตะเวนเที่ยวในวันพรุ่งนี้แล้วครับ อย่าลืมติดตามกันต่อในวันที่สามนะครับ....

1 ความคิดเห็น:

  1. โอยเห็นแล้วอยากกินข้าวผัดจังเลยครับ น่ากินๆ

    ตอบลบ