เวียดนาม
Day 2 : วันนี้เราตื่นเช้าเพื่อไปฮาลองเบย์กันครับ แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมหาเฝ่ออร่อยๆกินรองท้องไปก่อน
บรรยากาศยามเช้าในฮานอย

ชาวเวียดนามนั่งทานอาหารเช้า

ระยะทางจากฮานอยไปฮาลองเบย์ก็ประมาณ กรุงเทพ-ระยองบ้านเราครับ เมื่อถึงเวลานัดหมายไกด์หนุ่มชาวเวียดนามก็มารับเราที่หน้าโรงแรมพร้อมกับผู้ร่วมทริปอื่นๆอีกหลายคนครับ มีทั้งเยอรมัน ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น และหนุ่มสาวเวียดนาม

คันนี้คือรถที่ใช้เดินทาง

เมื่อรอสมาชิกมาครบแล้วเราก็ออกเดินทางกันครับ...


กำลังเดินทางออกนอกเมือง เดินทางมาสักระยะจะถึงศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ฝีมือของเด็กพิการซึ่งสภากาชาดของเวียดนามเป็นผู้ดูแล ในนี้จะมีของขายมากมายตั้งแต่เครื่องเงิน ผ้าปัก แหวน พัด น้ำดื่มจนไปถึงของจิปาถะอีกมากมาย

ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ฝีมือของเด็กพิการ

พอปล่อยให้พวกเราเดินชมศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ฝีมือของเด็กพิการสักพักรถเราก็ออกเดินทางกันอีกครั้งครับ...เดินทางออกมาสักพักก็เจอทุ่งนาเขียวไปหมดเลย

ป๊าดดดดดดด...ยังชมความงามของทุ่งนาไม่ทันไร รถที่เรามาเกิดเสียครับ...เซ็งจิตเลยทีเดียว


เซ็งกันเป็นแถว ตอนที่ถ่ายรูปนี้ยังยิ้มได้ครับเพราะนึกว่าซ่อมไม่นานหรืออาจจะมีรถมาเปลี่ยนเราในไม่เกินชั่วโมง แต่ชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว แถมไกด์ยังให้คำตอบที่ชัดเจนกะเราไม่ได้อีก เท่านั้นยังไม่พอครับ ไกด์ที่น่ารักยังมาทำเป็นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงทะเลาะกะคนโน้นคนนี่ไปทั่ว ออกแนวพาลคนอื่นทั้งๆที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเองแท้ๆ มาถึงตอนนี้เรายังเงียบครับ... ยังพอรับไหว รอจนสองโมงเย็นกว่าจะมีรถมาเปลี่ยน

รอกันพวกผู้หญิงต้องหาหาห้องน้ำเข้ากันครับ ไกด์ของเราเลยพาไปเข้าห้องน้ำที่บ้านของชาวเวียดนามแท้ๆ ลองดูห้องน้ำของชาวบ้านชานเมืองเวียดนามกันครับ


แฟนผมบอกว่าสุดใจขาดดิ้นครับ ข้างในยังมีแกลบมีขี้ไก่เห็นคุ้งไปหมดแต่ไม่เข้าก็ไม่ไหว แถมหัวโผล่ออกมาด้วยครับ อย่าว่าหยาบคายเลยครับ เข้าไปอาเจียนไปเลยครับ อันนี้เรื่องจริง มีฝรั่งเข้าไปออกมาอาเจียนเลยครับ เห็นมากับตา.... จากที่ตามตารางรถออก 7.00 น. จะถึงฮาลองเบย์ 10.00 น. เป็นอย่างช้า ลองทายกันเล่นๆดูครับว่าเราต้องรอกี่ชั่วโมง..... 4 ชั่วโมงครับ รอกันจนไทย จีน ฝรั่ง แขก ญี่ปุ่น หน้าเป็นจวักกันทุกคน หมดอารมณ์เลยครับ ข้าวเที่ยงที่ว่าจะได้กินก็ยังไม่ตกถึงท้อง เราถึงฮาลองเบย์กันตอนสองโมงเย็นครับ แล้วจะได้ทำอะไรไหมนี่เพราะเป็นแค่ทริปวันเดียว...

ฮาลองเบย์


พอมาถึงยังไม่ทันหายใจ ไกด์ตัวดีรีบไล่เราขึ้นเรือเลยครับ ระหว่างนี้ไกด์ตัวดีตะโกนขอยืดพาสปอร์ตของฮิโระครับ (ฮิโระเป็นชาวญี่ปุ่นแบ็กแพ็กเกอร์มาคนเดียวครับ เรารู้จักกันตอนรถเสีย) แต่ไม่บอกเหตุผล เพราะจะเอาแต่ของฮิโระคนเดียว งานนี่เล่นเอางงกันเป็นไก่ตาแตกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นหว่า... หลังจากต่อรองพูดคุยกันสักพักพ่อไกด์หนุ่มรุ่นกระทงจึงยอมบอกว่าต้องขอยืดพาสปอร์ตไว้บนท่าเรือถ้าจองทัวร์แบบค้างคืน....ปัดโธ่ !!! ถ้าบอกกันแบบนี้แต่แรกก็จบไปแล้ว พอจบเรื่องนี้เราก็ลงไปทานข้าวบนเรือครับต้องบอกว่าหิวจนตาลาย เพราะรถออกแต่เช้า แถมดันไปเสียอีกตอนนี้ก็บ่ายคล้อยเต็มทน กำลังจะลงมือทานให้อร่อย ไอ้เจ้าไกด์ตัวดีมันมาอีกแล้วครับ มันบอกให้ฮิโระหยุดกิน แล้วตามมันมา อ้าวไอ้นี่ คนกำลังหิวเพิ่งจะได้จับช้อนกินยังไม่ถึงสองคำ เราก็นั่งฟังมันพูดๆๆๆ มาถึงตอนนี้ฮิโระเริ่มโมโหแล้วครับ เราก็โมโหอะไรว่ะ พูดจาไม่ได้เรื่อง คนจะกินก็ไม่ให้กิน เราสองคนเลยบอกฮิโระว่าอย่าได้แคร์รีบกินเลย กินอิ่มแล้วค่อยว่ากัน...ฮิโระก็กินครับ ยังไม่ทันอิ่มมันมาอีกแล้วคราวนี้โวยวายเลยครับ ต่อว่าฮิโระเป็นการใหญ่ เถียงกันไปเถียงกันมา เราก็เห็นว่าไกด์ทำไม่ถูกเลยช่วยฮิโระเถียงกะไกด์เป็นการใหญ่ ในที่สุดมันเห็นเราช่วยกันเลยเสียงอ่อนครับ ยอมให้เราทานกันต่อ แล้วถึงให้ฮิโระย้ายเรือไปอีกลำที่ใช้สำหรับนอนพัก ไม่รู้ฮิโระจะโดนอะไรอีกหรือเปล่า

วิวฮาลองเบย์บนเรือ


มาถึงถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go) หรือที่เรียกกันว่า "ถ้ำสวรรค์" ก็หมดแสงแล้วครับ มืดมากถึงแม้ว่าภายในจะมีไฟติดตามจุดต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถถ่ายภาพออกมาได้เลยเพราะแสงน้อยมาก... นอกจากนี้ไกด์ก็เร่งๆๆให้เรารีบเดินเพื่อจะกลับขึ้นเรือครับ เซ็งจริงๆๆครับงานนี้ ฮาลองเบย์ มีนิทานที่เล่าเป็นประวติว่ามีมังกรโบราณเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งโบราณ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นเสมือนประกาศนียบัตรที่ใครเห็นต่างเชื่อถือ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศเวียตนาม ต้องล่องเรือมาชมอ่าวฮาลองเพื่อสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ แต่จากใจจริงของเรา เราว่าทะเลทางใต้ของเราเช่น อ่าวนางยวล สิมิรัน สวยกว่าเยอะครับ.... พอโดนไกด์ต้อนให้ขึ้นเรือกลับฝั่งหลังจากมีเวลาให้เราเดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราขึ้นเรือมาเจอเพื่อนร่วมทริปอีกคนครับ เป็นชาวเบลเยี่ยมเค้าบอกเราว่าเค้าจองตั๋วรถไฟไปซาปาตอนสองทุ่ม ซึ่งลุ้นว่าจะตกรถไฟมาก ขากลับเราต้องมานั่งรอรถทัวร์อีกเป็นชั่วโมงเลยครับ...รอจนหกโมงเย็นยังไม่ได้ขึ้นรถเลย ถึงตอนนี้เพื่อนต่างชาติของเราเริ่มโวยวายครับ เพราะต้องตกรถไฟแน่ๆถ้ายังไม่ออกเดินทาง ไกด์ตัวดีตอนนี้หายวับไปแล้วครับ ให้ไกด์สาวอีกคนมาดูแลแทน แม่สาวน้อยคนนี้ก็ไม่ค่อยจะประสีประสาอะไรเลย ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ทำให้บางคนต้องร่วมกลุ่มกันเช่าแท็กซี่กลับไปที่ฮานอยกันเอง.... ไม่ยุติธรรมเลยครับ ความรับผิดชอบหาได้มีไม่ เราไม่รีบร้อนเลยนั่งรอครับ กว่าจะได้ขึ้นรถก็ปาไปทุ่มกว่าๆๆ เหวี่ยงครับ งานนี้เหวี่ยงเลยทีเดียว... มาถึงฮานอยไกด์สาวก็นำรถตะเวนส่งทีละคน ของเราอยู่สุดทางเลยได้นั่งในรถเป็นคนท้ายๆครับ ส่งไปส่งมามาถึงช่วงเขต Old Quarter ไกด์สาวนึกยังไงไม่ทราบรถกำลังวิ่งอยู่ จู่ๆเธอเดินไปโบกมือทักทายคนตรงขอบประตูรถ ปรากฏตกลงไปบนถนนในขณะทีรถวิ่งครับ... กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดกันสั่นรถเลย โอ้แม่เจ้า อะไรตรูจะซวยขนาดนี้ฟระ เจอแต่ละอย่าง... พอรถหยุดเราก็ลงไปจะไปช่วยไกด์ครับ เธอนอนนิ่งคว่ำหน้าเลย ฝรั่งลงไปช่วย ไทยลงไปช่วย แต่คนเวียดนามที่อยู่ข่างทางครับยืนเฉย ยืนดูเฉย ไม่มีใครคิดจะช่วยเลย ทำใจเลยครับเพลียเลยเจอแบบนี้ สุดท้ายเราต้องช่วยกันโทรเรียกรถโรงพยาบาลมารับไป... พ่อคนขับรถก็ช่างกระไร จะลงมาดูสักนิดก็ไม่มี แถมพอเราขึ้นรถมาบอกกับพวกเราว่าจะไปส่ง... เราไม่เอาแล้วครับ เก็บสัมภาระได้รีบบอกเลยไม่เป็นไรเดี๋ยวกลับเองคุณไปส่งคนอื่นเหอะ ขืนอยู่ต่อไม่รู้จะเจออะไรอีก เราเดินมาถึงโรงแรมเอาของไปเก็บอาบน้ำอาบท่าสบายใจดีแล้ว เราก็ลงมาที่ล็อบบี้ด้านล่างเลยครับ คุยกะพนักงานด้านหน้าถึงทริปนี้ว่าเป็นอย่างไร พนักงานก็สอบถามดีมากเราจึงบอกว่าเราเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุนะ แต่คนของคุณไม่มีความรับผิดชอบเลย เราเลยคิดว่าคงต้องมีคนรับผิดชอบแล้วล่ะ..... พนักงานก็น่ารักครับแนะนำเป็นอย่างดี แล้วเรียกเอเจนซี่ทัวร์มาคุย แต่กว่าพ่อจะมาก็รอเสียนานเลย พอมาแล้วกูพูดจาไม่ดีใส่เอาอีกครับ อ้าววววๆ เราแค่ต้องการได้ยินแค่ว่าขอโทษที่ไกด์เป็นแบบนี้ หรือแค่แสดงความรับผิดชอบว่าจะไปแก้ไข หรือปรับปรุงเท่านั้นเอง พูดไปพูดมาเค้าก็ไม่ยอมรับทีนี้เราขึ้นเลยครับ สองคนช่วยกันถกเหตุผลให้เอเจนซี่ฟังเป็นการใหญ่ ตอนแรกบอกว่าจะคืนเงินให้เราครึ่งหนึ่ง...แต่ต้องหลังจากนี้เจ็ดวันแล้วใครจะรอครับ และที่สำคัญเราไม่ได้ต้องการเงินคืนเพียงแค่อยากได้ยินคำขอโทษที่ไกด์ทำท่าทีไม่ดีใส่ พอเค้าเห็นพูดกับผมไม่ได้ เพราะผมไม่ยอมเค้าเลยหันไปคุยกะแฟนผมแทนครับ นึกว่าแฟนผมจะยอมที่ไหนได้แม่ด่าลากยาวกว่าผมอีก เอาเป็นว่าพูดจนต้องคืนเงินให้ทั้งหมด 20 ดอลล่าร์ เลยครับ พูดจนเอเจนซี่จะร้องไห้เอาครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นจริงๆแล้วเราไม่ได้อยากได้เงินคืนเลยครับ แต่กิริยาที่เค้าทำกับเรานี่เหลืออดจริงๆตลอดทริปเลยมันแย่มาก จริงๆเงินเล้กน้อยครับแต่นิสัยแย่ๆแบบนี้เราก็รับไม่ได้เหมือนกัน วันนี้ใช่พลังงานมามากแล้วครับต้องขอลาไปนอนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปไป พิพิธภัณฑ์ประวัติศาตร์โฮจิมินและวัด วัน เหมียว (Van Mieu ) กับสถานที่อื่นๆอีกครับ...

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11/10/58 07:12

    อ่านแล้วก็สนุกดีครับ อยากไปบ้าง แต่ดูมันวุ่นวาย

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วรู้สึกแย่ไปพร้อมกับเจ้าของกระทู้เลยเจอแบบนี้ โชคร้ายจริง แต่ก็ขอบคุณที่นำมาเล่าให้กันฟัง กิติศัพท์ของคนเวียดนามกับนักท่องเที่ยวนี่เยอะพอดูเท่าที่อ่านมา ไม่ว่าคนขับแท็กซี่ ไกด์ พนักงานโรงแรม ต่างๆนาๆ

    ตอบลบ